จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ครบ 1 ปีที่มะจากไป

          วันนี้ วันที่ 14 พฤษภาคม 2554 ครบ 1 ปี แล้วซินะที่มะจากพวกเราไป แต่พวกเรา ยังมีความรู้สึกว่ามะยังอยู่กับเราตลอดเวลา วันนี้ ลูกๆ หลานๆ และญาติ ร่วมทำบุญให้มะ









ข้าวมะเขือเทศ

ซุบเนื้อ

แกงมัสหมั่นเนืัอ
บูดูทอด


วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เที่ยวเกาหลีกัน

              เริ่มต้นปีใหม่ปีนี้ได้ของขวัญปีใหม่ที่ประทับใจมากคือรางวัลการประกวดสื่อการสอนของสำนักการศึกษา ซึ่งเป็นรางวัลการดูงานประเทศเกาหลี กับเพื่อนร่วมคณะ อีก 15 คน
              เวลา 21.30 นาฬิกาของวันที่ 25 มกราคม 2554 คณะเดินทางทั้งหมดพร้อมกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อเตรียมตัวเดินทางโดยสายการบิน เอเชียน่าแอร์ไลน์ (OZ)  เที่ยวบินที่ OZ 742 ซึ่งเป็นสายการบินร่วมระหว่างสายการบินเกาหลี กับสายการบินไทย ขอบคุณผู้อำนวยการโรงเรียน เพื่อนพ้อง และครอบครัวที่เดินทางไปส่งที่สนามบิน

ผู้อำนวยการโรงเรียนและเพื่อนร่วมเดินทางไปส่งที่สนามบินสุวรรณภูมิ


ลูกและภรรยาก็มาส่ง
บนเครื่องบินขณะเดินทางไปเกาหลี
บนเครื่องบิน เป็นข้าวผัดกุ้ง เสริฟพร้อมสลัดผักผลไม้ และน้ำผลไม้ รวมทั้งขนมปัง

ถึงแล้วสนามบินอินชอน ประเทศสาธารณรัฐเกาหลี เวลาประมาณ
07.00 นาฬิกา(เวลาเร็วกว่าประเทศไทย 2 ชั่วโมง )อุณหภูมิภายนอกติดลบ 14.5 องศาเซนเซส



อาหารเช้ามื้อแรกที่เกาหลี คือ อูด้ง ซึ่งมีลักษณะคล้ายก๋วยเตี๋ยวบ้านเรา แต่ลักษณะเส้นเป็นเส้นกลม ใหญ่กว่าเส้นหมี่ ปรุงรสด้วยน้ำซุบร้อนหวานรสไม่จัด เหมาะกับการรับประทานเป็นอาหารเช้าแก้หนาวได้ดี     รับประทานแก้มกับกิมจิ
กิมจิเป็นอาหารเกาหลีประเภทผักดองที่อาศัยภูมิปัญญาของชาวเกาหลี ในการถนอมอาหารไว้รับประทานในฤดูหนาว ด้วยการหมักพริกสีแดงและผักต่างๆ โดยทั่วไปจะเป็นผักกาดขาว ชาวเกาหลีนิยมรับประทานกิมจิเกือบทุกมื้อ


หลังจากรับประทานอาหารเช้าแล้วคณะได้ไปศึกษาดูงานแห่งแรกที่ โรงเรียน 
Gyeonggi English Village Yangpyeong 




นางสาวระวีวรรณ  สุริยรัตนกร ผู้อำนวยการกองคลัง
มอบของที่ระลึกให้กับเจ้าหน้าที่โรงเรียน Gyeonggi English Village Yangpyeong

บรรยากาศภายในโรงเรียน Gyeonggi English Village Yangpyeong

 โรงเรียน Gyeonggi English Village Yangpyeong  เปิดตั้งแต่เดือนเมษายนปี ค.ศ. 2008 ที่ผ่านมา หลักสูตรของโรงเรียนเป็นหลักสูตรภาษาอังกฤษ และใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักในการสื่อสาร โรงเรียนนี้สร้างตามแบบสถาปัตยกรรมของเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา ที่ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในสถานที่ต้นแบบมาก ๆ และมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เช่น ห้อง Fitness, หอพักนักศึกษาแบบ Condominium, สระว่ายน้ำ, โรงกีฬา และ หอดูดาวเป็นต้น   Gyeonggi English Village Yangpyeong (www.yea.or.kr) ติดอันดับ มหาวิทยาลัยที่มีความสวยงามอีกด้วย


หลังจากรับประทานอาหารมื้อเที่ยงกันแล้ว เราออกเดินทางต่อไปยังเกาะนามิซึ่งเป็นสถานที่ใช้ถ่ายทำภาพยนต์ซีรีส์เกาหลีหลายเรื่อง


   เกาะนามิ (ฮันกึล:, นามิซอม) ตั้งอยู่ที่เมืองชุนชอน จังหวัดคังวอน ห่างจากกรุงโซลไปทางตะวันออก 63 กิโลเมตร โดยข้ามสะพานแขวนที่ยาวที่สุดของเกาหลี เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของเกาหลีใต้ เกาะนามิมีรูปร่างเหมือนใบไม้ลอยน้ำ เป็นเกาะกลางแม่น้ำฮัน ซึ่งเกิดจากการสร้างเขื่อนชองพยอง โด่งดังจากซีรีส์เพลงรักในสายลมหนาว (Winter love Song) ซึ่งใช้เกาะนามิเป็นสถานที่ถ่ายทำ เกาะนามิได้ชื่อตามนายพลนามิ ที่รับราชการตั้งแต่อายุ 17 ปี บิดาอยู่ในตระกูลสูงศักดิ์ ส่วนมารดาเป็นเจ้าฟ้าหญิง เขานำทัพกวาดล้างจลาจลในพื้นที่ภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศได้ทั้งหมด และได้รับตำแหน่งสูงเมื่อยังมีอายุเพียง 26 ปี แต่หลังจากเปลี่ยนรัชกาลใหม่ เขาก็ถูกใส่ร้ายว่าเป็นกบฏ และถูกประหารชีวิตพร้อมกับมารดาและพวกรวม 25 คน ต่อมา หลังผลัดเปลี่ยนรัชกาลใหม่อีกครั้ง ได้มีการพิสูจน์พบว่าข้อกล่าวหาทั้งหมดล้วนเป็นเท็จ เขาจึงได้รับคืนยศฐาบรรดาศักดิ์ดังเดิม  เกาะแห่งนี้มีทิวทัศน์ที่สวยงามไปด้วยต้นเกาลัดและทิวสนเรียงราย ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงจะมีเทศกาลใบไม้เปลี่ยนสี ใบไม้ต่างเปลี่ยนเป็นสีแดงสวยงาม และมีสุสานของนายพลนามิ ซึ่งยังคงตั้งอยู่ ณ เกาะแห่งนี้
ทิวสนอายุกว่าร้อยปีเรียงรายเป็นแนว บนเกาะนามิ


ท่าเรือไปเกาะนามิ
เรือโดยสารไปเกาะนามิ

น้ำในแม่น้ำเป็นน้ำแข็ง




บรรยากาศในเกาะนามิ

ตลอดทางเดินมีกองไฟที่ก่อจากไม้สน ไว้สำหรับนักท่องเที่ยวหยุดพัดผิงไฟเพื่อคลายหนาว

ออกจากเกาะนามิเราพักรับประทานอาหารเย็นที่ร้านอาหาร แห่งหนึ่ง สำหรับอาหารมื้อนี้ คือทัคคาลบี้ อาหารขึ้นชื่อของเมืองชุนซอน ทัคคาลบี้หรือไก่ผัดเผ็ดบาร์บีคิว     ก่ผัดเผ็ดบาร์บีคิวเป็นเนื้อไก่ที่หั่นออกเป็นชิ้นพอคำ คลุกเคล้าด้วยซีอิ๊วเครื่องปรุง และหมักทิ้งไว้จนได้ที่ จึงนำเนื้อไก่และผักมาผัดบนกระทะยักษ์ และใส่เครื่องแกงคล้ายน้ำพริกเผา  วิธีการรับประทานคล้ายเมี่ยงคำโดยห่อกับผักกาดแก้วเกาหลี เมื่อทานไประยะหนึ่งจะนำข้าวสวยและสาหร่ายแห้งมาผัดรวมกับทัคคาลบี เพื่อให้เกิดอาหารชนิดใหม่คือ ทัคคาลบีโปคีม หรือข้าวผัดทัคคาลบี้ ที่ทั้งหอมและน่ารับประทานพร้อมเครื่องเคียง  กิมจิ ซุปสาหร่าย และโอเด้ง(ลูกชิ้นปลาปรุงรส)





คืนนี้เราพักค้างคืนกันนอกเมืองที่ Poonglim Resort บรรยากาศโรงแรมแต่สไตร รีสอร์ทไม่มีเตียงนอน ปูที่นอนนอนกับพื้นไม้ ที่อุ่นด้วยเครื่องทำความอุ่นที่พื้น ไม่ต้องเปิดแอร์ อากาศภายในก็ยังเย็นอยู่



บรรยากาศทั่วๆไป ของ Poonglim Resort ภายในมีเครื่องครัวขนาดเล็กให้สำหรับประกอบอาหาร 
เล็กๆน้อยๆได้ ไม่มีเตียง แต่มีที่นอนสำหรับให้ปูนอนกับพื้น บริการอาหารเช้าแบบ ฝรั่ง 

เช้าวันที่ 27 มกราคม 2554 เราตื่นกันแต่เช้า(ด้วยสูตรการปลุก 6:7:8 ) ทานอาหารสไตล์อาหารฝรั่งที่โรงแรม หลังจากรับประทานอาหารเรียบร้อยแล้วเราก็ออกเดินทางไปที่ลานสกี Yongji pine Resort

ถ่ายภาพร่วมกันเป็นหมู่คณะ





                     ลานสกี Yongji pine Resort ในฤดูหนาวของเกาหลีมีลานสกีหลายแห่งเปิดให้บริการ มีทิวทัศน์ของเทือกเขาที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะสีขาวล้อมรอบสวยงามมาก ทิปนี้เราแวะชมลานสกีที่ Yongji pine Resort เป็นบรรยากาศที่สวยงามมากสำหรับผู้ที่ไม่เคยเห็นหิมะมาก่อน

                 ต่อจากนั้นเราเดินทางไปนมัสการวัดวาวูจองซา (Waujeongsa Temple)ตั้งอยู่ในเมืองยงอิน จังวัดเคียงคิโด สร้างขึ้นในปี 1970 โดยนักบวชแฮต๊อก ภายในมีรูปสลักสะสมจากพุทธศาสนิกชนทั่วโลกมากกว่า3000 ชิ้นโดยหนึ่งในรูปสลักที่มีชื่อเสียงที่สุด คือ พระเศียรของพระพุทธเจ้าซึ่งมีความสูงถึง8เมตร ตั้งอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าวัด เป็นวัดนิกายหินยาน ผู้ดูแลวัดนี้ชื่นชอบประเทศไทยเป็นพิเศษ ได้เดินทางไปไหว้พระที่เมืองไทยหลายครั้ง  ร้านขายของที่ระลึกปากทางเข้าวัดมีพระและสิ่งละอันพันละน้อยจากเมืองไทยมาขาย  วิธีทำบุญแบบเกาหลี ก็คล้ายคลึงกับบ้านเรา คือการบริจาคเงินเพื่อสร้างสิ่งก่อสร้างของวัด โดยการเขียนชื่อบนเทียนสีขาวเพื่ออุทิศบุญกุศล ส่งไปให้คนที่เราต้องการ เทียน 1 เล่มราคา 3000 วอน

   สามารถเขียนได้หลายชื่อ  เขียนชื่อได้ครบทั้งครอบครัว เพราะเทียนแท่งใหญ่ยังกับเทียนเข้าพรรษา   จุดเสร็จก็นำไปเก็บไว้ในตู้เพื่อไม่ให้เทียนดับ  มีราคา ระบุว่าเทียน 1 เล่มราคา 3000 วอน นอกจากนี้ก็ทำบุญด้วยการซื้ออิฐมุงหลังคาวัด เขียนชื่อสลักไว้บนอิฐเสร็จ  ก็หย่อนเงินทำบุญลงในตู้ตามศรัทธา  แต่มีแม่ชีเฝ้าอยู่  มีข้อความเขียนเตือนใจไว้ว่า เขียนแล้วอย่าเบี้ยว จะบาป










ภายในวัดประดิษฐานพระนอนแกะสลักจากไม้จันทร์ที่ใหญ่ที่สุดของเกาหลี
และนอกจากนั้นยังมีพระแกะสลักอีกมากมาย





จุดเด่นของวัดนี้คือเศียรพระที่ตั้งตระหง่านอยู่บนกองหิน ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของวัดนี้ได้อย่างชัดเจน





การบริจาคเงินเพื่อสร้างสิ่งก่อสร้างของวัด โดยการเขียนชื่อบนเทียนสีขาวเพื่ออุทิศบุญส่งไปให้คนที่เราต้องการ เทียน1 เล่มราคา 3000 วอน



ทำบุญด้วยการซื้ออิฐมุงหลังคาวัด เขียนชื่อสลักไว้บนอิฐเสร็จ  ก็หย่อนเงินทำบุญลงในตู้ตามศรัทธา
              หลังจากออกจากวัดวาวูจองซา แล้ว เราแวะรับประทานอาหารกลางวันกันที่ภัตตาคาร สำหรับอาหารมื้อนี้เป็น คาลบิย่าง Grilled Galbi
           คาลบิย่าง เป็นเนื้อซี่โครงหมูและเนื้อย่างที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กันซึ่งได้รับการพิถีพิถันเป็นอย่างดีในการหมักซึ่งเวลารับประทานก็จะเช่นเดียวกันกับการรับประทานคาลบิย่าง คาลบิย่างนั้นเป็นอาหารที่ถูกปากและถูกใจสำหรับชาวต่างชาติไม่แพ้กับกิมจิเลยทีเดียวและที่เกาหลีนั้นมักจะทำคาลบิย่างเป็นจานพิเศษที่ปรุงกันเฉพาะภายในครอบครัว ไว้ต้อนรับแขกผู้มาเยือนและใช้เป็นอาหารสำหรับโอกาสพิเศษที่อาจจะออกไปรับประทานอาหารนอกบ้านเนื่องจากเนื้อวัวมีราคาค่อนข้างแพง

พุลโกกิเป็นเนื้อย่างเกาหลีอันเลื่องชื่อมีเครื่องเคียงประกอบเช่น กิมจิอย่างน้อย 5 ชนิด ผักสด
ซุปและข้าวสวยร้อนๆไว้ทานคู่กัน


บรรยากาศภายในร้าน





เครื่องเคียงประกอบด้วยกิมจิ และผักสดสำหรับห่อ เนื้อที่ย่าง และใส่น้ำจิ้มคล้ายเมื่ยงบ้านเรา

คาลบิย่าง เป็นเนื้อซี่โครงหมูย่างที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน

ไม้จิ้มฟันที่เกาหลีจะทำจากแป้งที่ย่อยสลายได้ เมื่อนำเศษอาหารไปเลี้ยงสัตว์ไม้จิ้ฟันจะไม่เป็นอันตรายกับสัตว์


                         หลังจากรับประทานอาหารอิ่มหนำสำราญแล้วเรามุ่งหน้าตรงไปยังสวนสนุกเอเวอร์แลนด์
                         สวนสนุกเอเวอร์แลนด์ เป็นสวนสนุกกลางแจ้งที่ใหญ่และดีที่สุดในเกาหลี เป็นของบริษัท ซัมซุง   สวนสนุกเอเวอร์แลนด์ สร้างในปี ค.ศ.1976 และภายในสวนสนุกแห่งนี้ มีสิ่งให้ดูให้ชมให้ละเล่นครบทุกสิ่ง ทุกฤดูกาลและตอบสนองได้ทุกเพศทุกวัย
                          สถานที่ตั้ง : เอเวอร์แลนด์ ตั้งอยู่หุบเขาในเมืองยงอิน(Yongin) ทางตอนใต้ของกรุงโซล
เอเวอร์แลนด์แบ่งออกเป็น 3 โซนใหญ่ๆ ให้เลือกเล่นได้ตามความชอบใจ ทั้งเครื่องเล่นที่หวาดเสียว สวนน้ำ สวนดอกไม้ ที่จัดตกแต่งสวนด้วยไม้ดอกนานาชาติ สลับกันตลอดทั้งปีและสวนสัตว์ซาฟารี ภายในสวนสัตว์ จุดเด่นอยู่ที่ไลเกอร์ (Liger) สัตว์ลูกผสมระหว่างสิงโตกับเสือ (Lion+Tiger) ที่หาดูได้ที่นี่ที่เดียวในโลก การเข้าชมสวนสัตว์แห่งนี้ ต้องนั่งรถบัสของทางสวนสนุก บรรดาสัตว์ต่างๆจะออกมาอวดโฉมให้เราเห็นกันชัดๆ ชนิดประชิดกับคันรถเลยครับ
                ส่วนเทศกาลดอกไม้ เดือนเมษายนเป็นเทศกาลดอกทิวลิป(Tulip Garden) และ ดอกซากุระ (Cherry Blossom), เดือนพฤษภาคม-มิถุนายน เทศกาลดอกกุหลาบ (Rose Garden) และ ดอกลิลลี่ (Lily Garden) เดือนกันยา-ตุลาคม เทศกาลดอกกุหลาบเบญจมาศ (Chrysanthemun Garden) ในช่วงฤดูกาลหรือเทศกาลต่างๆก็จะมีการตกแต่งสวนสนุกให้เข้ากับบรรยากาศของเทศกาลนั้นๆ เช่น สีสันแห่งฤดูร้อน (Summer Splash) ในเดือนสิงหาคม, เทศกาลฮาลาวีน (Happy Halloween) ในเดือนตุลาคม, เทศกาลคริสต์มาสในช่วงปลายปี ก็มีการตกแต่งประดับไฟให้ต้นคริสต์มาส พร้อมกับจัดให้มีขบวนพาเหรด Christmas Holiday Fantasy ในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ก็มีเทศกาลหิมะและการเล่นเลื่อนหิมะ เครื่องเล่นหวาดเสียวก็มีให้เล่นทั้ง Double Desk Spin, รถไฟเหาะ (Rolling X-Train), นกอินทรีเหินเวหา (Eagle’s Fortress), ล่องแก่งในป่าอะเมซอน (Amazon Express) รวมทั้งเครื่องเล่นที่หวาดเสียวน้อยกว่าก็มีเช่น ประเภทชิงช้าสวรรค์ ม้าหมุน รถบ้ำ ที่เหมาะกับเด็กๆ ก็มีให้เลือกเล่นหลายอย่างด้วยความหลากหลายของเครื่องเล่น และการจัดแสดงต่างๆมากมาย คนเกาหลีจึงให้ฉายาสวนสนุกเอเวอร์แลนด์ได้ตลอดทั้งปี เพราะไปแต่ละครั้งการจัดแสดงและตกแต่งสวนสนุกไม่เคยซ้ำกันเลย ค่าผ่านประตูรวมค่าเครื่องเล่น : ผู้ใหญ่ (13 ปีขึ้นไป) 33,000 วอน / เด็ก (4-12 ปี) 22,000 วอน เวลาเปิดบริการ : 09.30-20.00 น. (เดือนมีนาคม-ตุลาคม เปิดถึง 22.00 น.)







Liger  คือ สัตว์ลูกผสมระหว่าง เสือกับสิงโต มีให้ชมในสวนซาฟารีของเอเวอร์แลนด์




เครื่องเล่นที่สนุกสนานอีกแบบหนึ่งบนลานหิมะที่เด็กเล่นได้ผู้ใหญ่เล่นดี ในสวนสนุกเอเวอร์แลนด์







 ออกจากสวนสนุกเอเวอร์แลนด์เราแวะรับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร ชาบู ชาบู (SHABU  SHABU )

                 ชาบู ชาบู หรือหม้อไฟเกาหลี เป็นอาหารพื้นเมืองตั้งแต่สมัยมองโกเลีย บุกคาบสมุทรเกาหลี ลักษณะคล้ายสุกี้หม้อไฟของญี่ปุ่น โดยนำเครื่องเคียงต่างๆเช่นผักหลากหลายชนิด เห็ดตามฤดู โอเด้ง ปลาหมึก หมูที่จัดเตรียมไว้ มาจัดเรียงให้สวยงามในหม้อ เวลาท่านเติมน้ำซุปชาบู ชาบูที่ปรุงรสต้มให้เดือดแล้วนำอุด้งสดลงต้ม สามารถรับประทานเป็นอูด้งร้อน และทานพร้อมข้าวสวยร้อนๆ น้ำจิ้มซีอิ๊วเกาหลี และเครื่องเคียงต่างๆ


กิมจิคือเตรื่องเคียงที่ขาดไม่ได้ในอาหารทุกมื้อ




ก่อนพักผ่อนคืนนี้คณะของเราพากันไปเดินออกกำลังชมความงามของป้อมฮาวาซอง
                                 ป้อมฮวาซอง (Hwaseong Fortress) เป็นป้อมปราการขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ที่เมืองซูวอน (Suwon) จังหวัดเคียงจิ (Gyeonggi-do) ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของกรุงโซล ได้ถูกสร้างขึ้นจากการวางแผนโดยกษัตริย์ซองโจ (King Jeongjo) กษัตริย์องค์ที่ 22 แห่งราชวงศ์โชซอน โดยมีเหตุผลในการสร้างหลักๆ อยู่ 2 ข้อ คือ เหตุผลแรก กษัตริย์ซองโจใช้เป็นที่ประทับและต้องการย้ายหลุมพระศพของ Sado Seja จากภูเขา Beabongson ไปยังฮวาซอง ในปี 1789 ที่ถูกพระอัยกาของพระองค์ (พระเจ้ายองโจ) ลงโทษโดยการขังองค์ชายไว้ในถังข้าวและให้อดข้าวอดน้ำ พอผ่านไป 7 วันจึงสิ้นพระชนม์ภายในถังข้าว ใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างกว่า 34 เดือน และเหตุผลที่สองคือ ต้องการสร้างเมืองหลวงขึ้นมาใหม่ เพื่อเสริมความยิ่งใหญ่ของความเป็นกษัตริย์นั่นเอง ตัวป้อมได้รับการก่อสร้างโดยวิทยาการชั้นสูงและด้วยอุปกรณ์ก่อสร้างที่ประดิษฐ์ขึ้นใหม่โครงสร้างถูกทำให้มั่นคงแข็งแรงขึ้น เป็นการก่อสร้างที่ผสมผสานระหว่างวิธีของชาวตะวันออกและวิธีของชาวตะวันตก มีการใช้หิน ปูน อิฐ และไม้ เป็นส่วนประกอบของกำแพง ซึ่งรวมถึงระบบระบายน้ำ เชิงเทิน ช่องยิงปืนบนกำแพง และหอรบต่างๆ ตัวป้อมทอดยาวโอบล้อมตอนล่างของเมืองซูวอนเป็นวงรูปไข่มหึมา กินความยาววัดได้ถึง 5.52 กิโลเมตร มีสิ่งอำนวยความสะดวก 41 แห่งภายในวงรูปไข่นั้น โครงสร้างของป้อมในแต่ละแห่งผสมผสานให้สอดคล้องกับสถาปัตยกรรมที่อลังการในเชิงยุทธศาสตร์ได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้น ยังมีการนำเครนมาช่วยในการก่อสร้างซึ่งถือว่าเป็นเครื่องมือที่ค่อนข้างทันสมัยในยุคนั้น และยังได้นำเทคโนโลยีจากประเทศจีนเข้ามาใช้ ช่วยให้ประหยัดงบประมาณและเวลาในการก่อสร้างจากเดิมที่คาดว่าจะใช้เวลาราว 10 ปี ก็สามารถสร้างเสร็จภายในเวลาแค่ 2 ปีเท่านั้น ตัวป้อมปราการทอดยาวไปตามที่ราบและไหล่เขาซึ่งน้อยนักที่จะได้เห็นป้อมลักษณะนี้ในประเทศข้างเคียงอย่างญี่ปุ่นและจีน ป้อมนี้ได้รับการออกแบบให้ใช้ประโยชน์ในด้านการเมือง การค้าและการทหาร โดยได้รับอิทธิพลมาจากซิลฮัก (Silhak) หรือ "การเรียนรู้ในเชิงปฏิบัติ" อันเป็นแนวคิดใหม่ในสมัยนั้น ซึ่งแสดงถึงเทคนิคการสร้างชั้นยอดและแสดงถึงฝีมืออันประณีตบางส่วนของกำแพงและป้องปราการฮวาซองได้ถูกเผาทำลายเสียหายอย่างมากในระหว่างที่ญี่ปุ่นเข้าครอบครอง (ค.ศ.1910 - 1945) และในช่วงสงครามเกาหลี (ค.ศ.1950 - 1953) แต่ต่อมาในช่วงปี ค.ศ.1975-1979 รัฐบาลเกาหลีได้ตั้งงบประมาณ 32 ล้านวอน เพื่อทำการบูรณะกำแพงทั้งหมดให้กลับมามีสภาพใกล้เคียงกับของเดิมมากที่สุด โดยอาศัยรายงานการก่อสร้างที่จัดทำไว้ในสมัยกษัตริย์ซองโจมาช่วยในการบูรณะป้อมฮวาซองได้รับการรับรองจากองค์การยูเนสโก (United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization: UNESCO) ให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 21 เมื่อปี พ.ศ. 2528 ที่เนเปิลส์ ประเทศอิตาลี โดยผ่านข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ในการพิจารณาให้เป็นแหล่งมรดกโลก ดังนี้
                                - เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลยิ่ง ผลักดันให้เกิดการพัฒนาสืบต่อมาในด้านการออกแบบทางสถาปัตยกรรม อนุสรณ์สถาน ประติมากรรม สวน และภูมิทัศน์ ตลอดจนการพัฒนาศิลปกรรมที่เกี่ยวข้อง หรือการพัฒนาการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ ซึ่งได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง หรือบนพื้นที่ใดๆ ของโลกซึ่งทรงไว้ซึ่งวัฒนธรรม
                                - เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงหลักฐานของวัฒนธรรมหรืออารยธรรมที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันหรือว่าที่สาบสูญไปแล้วปัจจุบัน เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความรักความกตัญญูที่มีต่อพ่อแม่ ความศรัทธาในศาสนา และความรักชาติของชาวเกาหลี






บรรยากาศของป้อมฮวาซองยามค่ำคืน



                   คืนนี้เราพักผ่อนกันที่โรงแรม Hotel Amour& Symphomy นอกกรุงโซน



ในโรงแรมมีอินเตอร์เนต หนังช่องพิเศษ ใช้ได้โดยไม่เสียเงินเพิ่ม


ช่ิองทางเดินมีไฟที่จะดับเองเมื่อไม่มีการเคลื่อนไหวที่จุดนั้น 


โถชักโครกเป็นระบบไฟฟ้า มีอ่างน้ำวน 

จัดเป็นโรงแรมที่ทันสมัย และมีเครื่องอำนวยความสะดวก ดีที่สุดในทิปนี้